วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565

otome game sekai wa mob ni kibishii sekai desu

 


คำเตือน อย่าโดนรูปประกอบหลอกอ่านนะครับ

 

บทความนี้เขียนตามอารมณ์คนเขียน แบบว่าไม่มีจุดประสงค์ชัดเจน ไม่มีลำดับการคิดอะไรมาก คิดอะไรออกมาก็พิมพ์เลย ข้อมูลไม่ได้หาเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าการเขียนมันจะแบบว่าวกวนไปมาไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหลักต้องขออภัยด้วยครับ ถ้าหากคิดว่าเวลามีค่าก็พยายามอย่าฝืนอ่านจนจบก็แล้วกันครับ โดยรวมนี่คือทัศนคติของแอดมินเพจนี้คนเดียวครับ แต่ถ้าเบื่อถ้าว่างอยากหาอะไรอ่านฆ่าเวลาแหมือนอ่านบทความแนวไร้แก่นสารแบบทั่วๆไปก็ตามสบายครับ แต่ขอบอกว่ายาวนะครับ เวลามีค่าโปรดคิดให้ดีก่อนอ่านครับ

 

otome game sekai wa mob ni kibishii sekai desu

 

เมื่อพลิกมุมมองให้กลับกันสำหรับบางคนนั้นอาจจะรู้สึกแปลกๆครับ

 

ถ้าเปิดชื่อด้วยเรื่องนี้ในรูปแบบที่เป็นชื่อญี่ปุ่นหลายคนอาจจะงงว่าเรื่องอะไร เพราะคนหลายคนที่รู้จักเรื่องนี้จะเรียกชื่อเรื่องว่า mob ครับ ซึ่งเป็นชื่อย่อจากชื่อย่อของเรื่องนี้จาก mobseka ครับ คล้ายเรื่อง Yahari Ore no Seishun Love Comedy wa Machigatteiru ที่ชื่อย่อ Oregairu แต่ก่อนจะรู้ชื่อนี้ผมเคยย่อชื่อเรื่องจากคำหน้าของชื่อเรื่องว่ายาฮาริครับ

 

พล็อตเริ่มต้นของเรื่อง mobseka นั้นจะเป็นตัวเรื่องราวตามกระแสนิยมในช่วงที่ถูกแต่งขึ้นมาครับ

 

กล่าวคือช่วงที่ผ่านมานั้นตัวเรื่องที่บูมมากๆนั้นเห็นจะเป็นเรื่องที่คนในโลกปัจจุบันที่เราอยู่นั้นตายแล้วกลับชาติไปเกิดใหม่ในต่างโลก ไม่ก็เกม นิยาย มังงะ อะไรก็ตามทีเถอะครับ แล้วที่สำคัญพวกเขาเองก็มีความทรงจำที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในโลกเก่าด้วย เพราะงั้นพวกเขาเหล่านั้นจึงได้ใช้ความทรงจำเหล่านั้นบวกด้วยพลังโกงต่างๆที่ตัวเองมีเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเอง หรือช่วยเหลือคนอื่น พัฒนาโลก หรือจะใช้ชีวิตสไลว์ไลฟ์ก็แล้วแต่ใจคนแต่งนั้น ไปอย่างสนุกสนาน

 

เอาจริงๆแนวนี้นั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากเรื่องสมัยก่อนอยู่พอสมควร เพราะบางเรื่องนั้นค่อนข้างจะไร้จุดเป้าหมายของของตัวเรื่องครับ โดยปกติในหลายๆเรื่องสมัยก่อน ก่อนที่เราจะแต่งเรื่องมาทำเป็นนิยาย ไลท์โนเวล มังงะ อนิเมะนั้น ตัวเรื่องค่อนข้างจะมีจุดประสงค์ชัดเจนครับ มีจุดเริ่มและจุดจบที่พอจะเดาออกมาว่า นี่แหละคือจุดไคล์แมกซ์ที่จะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว โดยการใช้วัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าเหล่าตัวเอกมีเป้าหมายอะไร เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็หมายถึงว่าเรื่องนั้นถึงตอนจบแล้ว

 

กล่าวคือไม่ว่าจะยังไงตัวเรื่องจะมีจุดรองรับว่าถ้าถึงจุดนี้ก็ถือว่าจบแล้วเอาไว้อยู่เสมอครับ อย่างเช่นวันพีช ถ้าลูฟี่ได้เป็นราชาโจรสลัดแล้วและหาวันพีชที่ซ่อนเจอ ตัวเรื่องก็สามารถที่จะจบลงได้บริบูรณ์ โคนันก็เช่นกันถ้าเรื่องโค่นล้มองค์กรชายชุดดำได้แล้วโคนันอาจจะได้กลับร่างเดิมไม่ได้กลับก็ตามทีตัวเรื่องก็อาจจะจบเรื่องลงได้เช่นกัน แฟนเช่า ถ้าคาซึยะได้คบจิซึรุเรื่องก็จบได้เหมือนกัน หรือคาซึยะนั้นเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตตัวเรื่องมันก็จะสิ้นคิดหน่อยๆนะครับ

 

คือพอมันมีจุดประสงค์ไม่ว่าจะเรื่องความรัก ความยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียง ยุติสงคราม กู้โลก กู้ชาติ โค่นล้มองค์กร อะไรต่างๆ เมื่อมันสำเร็จบรรลุเป้าหมาย ตัวเรื่องส่วนใหญ่ก็จะไม่ไปต่อและจบลงแค่นั้น อาจจะมีสิ่งที่เรียกว่า after story ตามมา ถ้าเรื่องยังดังและขายได้ หรือไม่แยกเป็น side story เลย อย่างกันดั้มซี๊ดก็มีแยก astray ออกมา หรือเรื่อง code geass ก็แยกภาคอากิโตะออกมา แบบนั้นก็ได้ โดยเรื่องที่ว่าถ้ากระแสนิยมยังดีคนวาดคนแต่งคนทำงานไม่มีปัญหากัน ตัวเรื่องก็อาจจะออกภาพสองหรือภาพ after story ออกมาก็มีเยอะแยะ จากที่บ้านเมืองเคยสงบสุขก็กลับมาวิบัติอีกครั้งก็ได้

 

แล้วที่ผมพล่ามพล่ามยาวมาหลายบรรทัดนี่ มันเกี่ยวอะไรกับเรื่อง mobseka เหรอครับ

 

คำตอบคือไม่เกี่ยวเลยครับแค่อยากพิมพ์ให้บทความดูยาวๆไปเท่านั้นเองครับ 555

 

เพราะส่วนประเด็นที่ผมอยากกล่าวถึงจริงๆมันคือเรื่อง mobseka มันเป็นเรื่องที่เข้าตามกระแสนิยมในช่วงที่ผ่านมาครับ และการดำเนินเรื่องที่มันดูเหมือนจะมีจุดจบนั้นมันกลับดูยืดยาวได้เรื่อยๆมาหลายเล่มครับ จนบางครั้งเรา ไม่สิ ต้องใช้คำว่าผมคนเดียวเพราะบทความนี้คือความเห็นของผมครับ ก็เริ่มไม่มั่นใจมันมีจุดวัตถุประสงค์ยังไง

 

เปลี่ยนโลกงั้นเหรอ ไม่อ่ะ พระเอกดูไม่ค่อยอยากทำ

 

มีชื่อเสียงมากขึ้นงั้นเหรอ ไม่อ่ะ พราะเอกแค่อยากมีเงินอยู่สบายๆ

 

กลับโลกเดิมเหรอ ไม่อ่ะ พระเอกมันตายจากโลกเดิมแล้วนะ แล้วจะกลับโลกเดิมไปทำเพื่อถ้าไม่มีห่วงอยากกลับอ่ะ

 

ด้วยหลายความคิดนี่เลยทำให้เห็นเรื่องนี้นั้นพอยืดออกจากเล่มแรกซึ่งจบภาคแรกของเกมที่พระเอกเคยเล่นมามันก็ยาวยืดต่อเลย แต่ว่าพอพิมพ์มาถึงตอนนี้ผมก็นึกขึ้นได้แฮะ ว่าจริงๆแล้ว นี่ผมพึ่งนึกพึ่งนึกขึ้นได้จริงนะครับ แต่จะพิมพ์แก้ก็ขี้เกียจแล้วขอพิมพ์ต่อเลยก็แล้วกันครับ เรื่องนี้มีจุดจบของมันอยู่นะครับ จุดจบที่เป็นวัตถุประสงค์ของเรื่องคือ พระเอกนั้นอยากใช้ชีวิตที่สบายๆและหนีกฎเกณฑ์บางอย่างของโลกนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ได้อยากเด่นอยากดัง แค่อยากปกป้องตัวเอง แต่ด้วยนิสัยชอบวุ่นวายชาวบ้าน ก็เลยไปจุ้นจ้านหาปัญหาอยู่บ่อยๆ หรือไม่ก็โดนบังคับให้เข้าร่วมเหตุการณ์ต่างๆนาๆจนมีอีเวนท์มากมายเพื่อสู่บทต่อไปครับ

 

พิมพ์บ้าบอไปตั้งนานสรุปว่าเรื่องนี้เองมันก็มีวัตถุประสงค์ของเรื่องนี่หว่า เขินจังครับ เหอๆๆ เอาจริงๆถ้าเรื่องมันไม่มีวัตถุประสงค์หลักของเรื่องเลยมันก็คงสร้างเป็นเรื่องที่ขายยาวๆได้ลำบากนะครับ ยกเว้นแต่แนวแก๊กแบบขำขันครับ แต่แนวแบบนั้นก็ยังมีวัตถุประสงค์ของเรื่องเลยครับ

 

ส่วนสาเหตุที่พระเอกที่มีความคิดหรือโดนบังคับแบบนี้ก็เพราะในตัวเรื่องไม่มีอีเวนท์อะไรเลย มันจะไปสนุกได้ไงครับ

 

ลองจินตนาการถึงไลท์โนเวลที่เป็นนิยายเรื่องแต่งที่ชีวิตสุขสันต์เรื่องหนึ่งดูครับ

 

มีเด็กคนหนึ่งเกิดในครอบครัวธรรมดา มีพ่อแม่ที่ธรรมด๊า ธรรมดา เป็นพวกบ้าๆบอและใช้ชีวิตกับเพื่อนฝูง แต่ไม่ค่อยอยากเจอปัญหาอะไร วันๆก็แค่ไปเรียน ไปเที่ยวบ้านเพื่อน กินข้าว นอน เช้าวันรุ่งขึ้นทำแบบนั้นซ้ำซากไปเรื่อย มีอีเวนท์หนักหน่อยคือตอนไปจีบสาวติดได้คบแล้วรู้สึกตื่นเต้น แบบว่าตอนนั้นชีวิตสดใส แต่เนื่องจากอยู่ในวัยเรียนครอบครัวค่อนข้างไม่มีเงินมากก็เลยไม่ค่อยทำอะไรให้เธอได้มาก และท้ายที่สุดสาวเจ้าก็เห็นชายอื่นดีกว่าและเลิกกันไป เพราะงั้นเด็กหนุ่มคนนั้นจึงใช้ชีวิตต่อมาแบบปกติ ไม่สนเรื่องรักๆใคร่ๆมาก และเป็นพวกหัวช้าเลยไม่รู้ว่าใครเข้ามาแบบมีใจจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัยทำงาน ทำงาน ทำงาน เลี้ยงครอบครัว เป็นหนี้บ้าง แก้ปัญหางานบ้าง มีอีเวนท์จีบหญิงติดบ้าง คบไปสักพักเลิก จีบคนใหม่ต่อก็มีความสุขดี จบครับ

 

เอาจริงๆ ถ้าเป็นตัวเรื่องแบบนี้ในเรื่องแต่งจุดพลิกจะอยู่ตรงที่แฟนไปคบกับคนอื่นเลยพยายามทำให้ดีขึ้นเพื่อหยามแฟนเก่าอะไรแบบนี้แล้วแบบว่ามีเงินมากมาย เป็นคนเท่หล่ออะไรต่อ ไม่ก็ต้องเป็นปมชีวิตจนไม่กล้าคบสาวอื่นใช่ไหมครับ คือเรื่องที่จะสนุกมันจะสานต่อปมที่มันเป็นประเด็นหลักครับ แต่ในชีวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้น

 

คือโดนทิ้ง เศร้า เจ็บ ก็เอ่อ.. แล้วไง จากนั้นใช้ชีวิตต่อไป แบบไม่ได้เจอกันอีก หรือเจออีกครั้งก็ทักทาย จะไปแค้นอะไรล่ะครับ

 

ไอ้ความสมเหตุสมผล สายกินเนื้อ กินหญ้า ขี้แพ้ อะไรพวกนี้เนี้ย ในชีวิตจริงมันไม่มีอะไรมากเลยครับ แค่เดินชนไหล่กันแล้วเผลอยิงกันมันก็เป็นไปได้ครับ เมื่ออารมณ์อยู่เหนือเหตุผล อะไรแบบบ้าบอๆมันก็เป็นได้ครับ เพราะฉะนั้นในเรื่องมองว่าทุกอย่างมันต้องเป็นเหตุเป็นผลนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่คนที่เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์เข้ามองกันครับ ว่ามันต้องเป็นนั้น มันต้องแบนี้ เพราะบรรทัดฐานมันออกแบบนี้ ผลลัพธ์ตามมามันเลยต้องเป็นแบบนั้น ทุกคนต้องมีบรรทัดฐานความเห็นเหมือนกันนะ ในตัวละครที่อ่านก็เช่นกัน

 

ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องที่อ่านไม่ตรงจริตชีวิตก็คงไม่สนุกครับ

 

แต่ไม่ใช่ว่าคนกลุ่มนั้นผิดนะครับ คือรสนิยมแต่ละคนมันต่างกันได้ครับ และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาอ่านในสิ่งที่เขาไม่ชอบและวิจารณ์ได้เช่นกันว่าทำไมเขารู้สึกแบบนั้น โดยใช้อารมณ์ควบคู่กับเหตุผลที่เขาเชื่อหรือเป็นบรรทัดฐานสังคมในตอนนั้น มันก็ได้ครับ คือโลกเสรี ทุกสิ่งที่คุณคิดและคุณอยากบอกถ้าไม่เป็นการทำร้ายจิตใจใครหรือทำใครเสียหายคุณทำได้ทั้งนั้นครับ ผมไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ

 

ใครมันจะไปชอบทุกอย่างได้เหมือนกันรสนิยมเหมือนกันทุกคนล่ะครับ เพราะงั้นคนชอบก็ชม คนไม่ชอบก็ติเตียนมันก็เป็นเรื่องปกติเพื่อที่คนแต่งหรือบก.จะได้หาจุดศูนย์กลางของคนที่ชอบและไม่ชอบนั้นยอมรับกันได้ครับ  เพื่อขายสินค้าเขาได้ต่อไป

 

ก็นะ การตลาดส่วนใหญ่มันไม่ใช่อีเวนท์การกุศลแต่มันคือสังคมแห่งการแข่งขันนำเงินเข้าบริษัทเพื่อความมั่งคั่งของนายทุนครับ

 

แล้วไอ้ที่พิมพ์มานอกเรื่องยาวอีกครั้งมันเกี่ยวกับอะไรในเรื่อง mobseka อีกงั้นเหรอ

 

คำตอบคือก็ไม่เกี่ยวอีกเหมือนเดิมล่ะครับ แบบว่าบทความมันยังดูยาวไม่พอก็เลยพิมพ์ลากยาวต่อให้ดูยาวมากขึ้นครับ เผื่อคนที่อ่านมาถึงตอนนี้แล้วท้อใจว่าตูอ่านอะไรอยู่ฟ่ะเนี้ย

 

แต่ก็นั้นแหละครับ สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือการเพิ่มสนุกของเนื้อเรื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆ แต่ว่าเรื่องนี้นั้นไม่ได้การสร้างเหตุการณ์แค่นั้น แต่ว่าการสร้างโลกในเนื้อเรื่องเรื่องนี้ก็ค่อนข้างน่าสนใจครับ แม้ว่าในหลายประเด็นมันอาจจะไม่สมเหตุสมผลตามความคิดของเรา เพราะว่าโลกที่เราอยู่นั้นในอดีต มันเคยมีแนวคิดแบบ ปิตาธิปไตย (ว้าวได้แบบว่าพิมพ์ชื่อวิชาการเท่ๆแบบนี้มันเจ๋งจริงๆครับ เหอๆๆ) สำหรับใครงงมันก็คือโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่แหละครับ แต่ว่าในตอนนี้โลกที่เราอยู่ก็เริ่มผลักดันเรื่องความเท่าทเทียมทางเพศ แต่มันก็ยังมีแนวคิดแบบเก่าว่าผู้ชายต้องเป็นช้างเท้าหน้าอะไรแบบนั้นอยู่ในสังคมครับ

 

 แต่ว่าเรื่องนี้โลกในเกมที่พระเอกหลงเข้าไปนั้นมันพลิกความคิดนั้นโดยสิ้นเชิงครับ

 

เพราะค่านิยมของคนในเกมของเรื่องนี้ ไม่สิในประเทศที่พระเอกอาศัยอยู่ในโลกคือค่านิยมที่หญิงสาวเป็นใหญ่ สามารถมีฮาเรมได้ ผู้ชายนั้นต่ำต้อย โดยเหยียดหยาม เพราะงั้นในเรื่องทางเพศอะไรหลายอย่างสำหรับผู้หญิงถึงเปิดกว้างมากๆ มันเลยมีหลายฉากที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ อย่างมุมมองสาวโดนทิ้งแล้วมั่วผู้ชาย มันก็แบบว่าแปลกๆในมุมมองโลกเรา แต่ว่าในโลกนั้นมันก็เหมือนผู้ชายไปมั่วผู้หญิงซึ่งมันก็ดูว่าผู้ชายมันเลวหรือเปล่าหว่า แต่ว่าฝ่ายที่เป็นคู่ก็ไม่ได้มาแบบว่าโดนบังคับข่มขู่นะ แถมตัวละครก็ชอบด้วย เอาจริงฝ่ายหญิงที่ทำแบบนั้นมันก็รู้สึกว่าไม่ใช่ แต่อยากอะไรทำประชดชีวิตนะครับ จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไร แต่มันขัดใจ ขัดศีลธรรมจรรยาอันดีที่เป็นเหมือนประทีปส่องให้ความสงบสุขของโลกใบนี้แฮะ

 

แต่มันก็แค่นั้นเพราะมันเป็นเรื่องแต่งครับ

 

แล้วพระเอกจะไปเปลี่ยนระบบให้ชายเป็นใหญ่ไหม ก็ไม่ เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นเลยครับว่าพระเอกนั้นอยากใช้ชีวิตที่สบายๆและหนีกฎเกณฑ์บางอย่างของโลกนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะงั้นจะไปทำอะไรที่สเกลใหญ่โดยไม่จำเป็นทำไม ถ้าพวกคุณจะเชื่อแบบนั้นก็เชื่อแบบนั้นต่อไปเถอะ จะเรื่องความเท่าเทียมหรืออะไรก็ไม่สน แค่ตนอยากมีชีวิตแบบสบายๆ

 

แต่ถึงจะพูดแบบนั้นในระหว่างการดำเนินเรื่องก็มีการแทรกแนวคิดในโลกเราเข้ามาอยู่ดี ในช่วงไปประเทศอื่น

 

มันก็เป็นอีกแนวเรื่องหนึ่งที่คนอ่านแล้วไม่คิดอะไรก็อ่านได้เพลินดีนะครับ ถึงอ่านแล้วคิดอะไรมันก็สนุกได้เหมือนกันครับ ถ้าไม่คิดมาจนเป๊ะเกินไปครับ มันก็มีแนวคิดที่ว่าคนมีพลังอำนาจนั้นสามารถที่จะเป็นฮีโร่หรือวีรบุรุษได้อยู่ แต่ว่าพระเอกมันค่อนข้างเกรียน แต่ถึงเกรียนแต่ก็ไม่ได้ชั่วช้า และถึงโดนต่อว่าแต่ก็เอาคืนแบบเด็กๆที่ดูแบบว่าโลกสวยใสพอสมควรเลยครับ ไม่หวังว่าให้ใครตาย แค่ได้ทำร้ายให้เขาเจ็บและหลาบจำจะได้แบบว่ากลับตัวและคิดได้ มั้ง? มันก็เป็นอะไรที่ดีอยู่พอสมควรครับ ไม่เน้นแนวฆ่ามาก หรือจมกับความแค้น เจอหญิงให้ท่ามุ่งฟันด๊ะแบบชายชาตรี มีลังเล มีคิดมากตามภาษาคนทั่วไปทั้งที่พลังอยู่แท้ๆ ดูน่ารำคาญ แต่ก็ดูน่าเบียวตามนิดๆ มีหุ่นยนต์ สาวๆ และฉากเซอร์วิส บางครั้งก็เกือบออกเป็นแนวยูริ แต่เอาจริงๆเซอร์วิสผู้ชายก็มีนะครับ แบบว่านุ่งผ้าเตี่ยวโชว์กล้าม แต่ความหวาบหวามคนอ่านชายมันคงไม่มีคิดอะไรล่ะครับหรือโดนเตะไข่ไก่สองฟองใบไปทัศนคติเปลี่ยนก็มีครับ

 

มันก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างหลากหลายในความคิดผมนะครับ และเป็นอีกแนวเรื่องหนึ่งที่ให้คนที่อยากหาแนวทางสายโอตาคุแบบกลางๆ พระเอกไม่โง่เกินไปจนไม่คบกับใครสักใครหรืองี่เกินไปจนย่อเข้าทุกคนได้อ่านได้ครับ ยกเว้นแต่ฉากเซอร์วิสแหละที่ทำให้คนทั่วไปไม่ชอบครับ แถมเมะลายเส้นก็.....

 

และมันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจในระดับหนึ่งเลยนะครับ กับแนวคิดของตัวเรื่องแบบนั้นซึ่งแม้ว่าท้ายที่สุดมันก็จบแบบว่า.... เอาจริงๆ ฉบับไลท์โนเวลยังไม่จบครับ ที่บอกว่าจบนั้นเป็นแบบเว็บโนเวลครับ เพราะเรื่องนี้แต่งมาในแบบเว็บโนเวลมาก่อนครับ ก็โดยทั่วไปที่มีเรื่องตัวละครสาวเยอะและหลายคนชอบพระเอกครับ แต่ในแนวกลับกันตัวละครสมทบเองก็มีบทบาทและได้คู่ครองกับเขาด้วยเหมือนกัน ในหลายเรื่องตอนนี้แนวที่ละครสมทบได้สมหวังกับคนที่ชอบแบบนี้ก็มีเยอะแล้วครับซึ่งระดับคนที่ชอบอาจจะเป็นนางรอง ตัวร้ายซึ่งค่อนข้างเด่นเลยทีเดียวครับ

 

สรุปครับที่พิมพ์มายาวๆแบบเสียเวลาเป็นชั่วโมงพิมพ์มันไม่มีอะไรครับ แค่อยากบอกว่าถ้าอยากลองหาอะไรอ่านในงานหนังสือนี้ถ้าหาอ่านได้ของสนพนี้ในแบบรูปเล่มนะครับ ก็น่าสนใจซื้อมาอ่านนะครับ แต่ถ้าไม่คิดจะเก็บรูปเล่มอยู่แล้วใน Meb ก็มีอีบุ๊คให้อ่านนะครับ ปัจจุบันออกมา 6 เล่มแล้วครับ สนใจก็ลองหาอ่านดูนะครับ เพราะเรื่องนี้ในกลุ่มก็มีคนกล่าวถึงเยอะแยะครับ

 

ชื่อไทยคือ ชีวิตตัวประกอบอย่างตูช่างอยู่ยากเมื่ออยู่ในโลกเกมจีบหนุ่มครับ ลิขสิทธิ์ไลท์โนเวลโดยรักพิมพ์ครับ

 

ปล. เรื่องนี้ตัวละครนั้นยังใช้ชีวิตอยู่วัยเรียนแต่ก็มีเซอร์วิสเนียนๆอยู่พอสมควรนะครับ


ปล2. รูปประกอบโพสมันดูไม่เข้ากับเนื้อหาแฮะ















วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565

Ayakashi triangle เล่ม 8

 ยังค่อนข้างจัดเต็มกับนมของมัตสึริครับ


เรื่องเนื้อเรื่องก็ดี แต่ฉบับรวมเล่มแบบนี้มันก็เสพนมล่ะครับ เอาจริงๆ ก็ครบเครื่องเรื่องเซอร์วิสแบบพลิกรูปแบการ์ตูนแอคชั่นที่อาจารย์เคยวาดในสมัยก่อนหน้านี้แสนนานไปเลยครับ 

















วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565